ถ้าลองคำนวณดูดี ๆ นี่เป็นระยะเวลาประมาณสองอาทิตย์กว่าแล้วที่ผมลาออกจากตำแหน่งรองผู้ช่วยบรรณาธิการหนังสือของสำนักพิมพ์ ProProof และออกมาเป็นพนักงานอิสระหรือ Freelancer (แต่โดยส่วนตัวผมชอบแทนตัวเองว่า Soloist มากกว่า เพราะทำไมน่ะหรือ คุณจะได้เจอคำตอบในเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้) ในตอนนั้นที่ผมยังทำงานเป็นพนักงานประจำอยู่ ถึงแม้ว่าตำแหน่งของผมจะไม่ธรรมดาเอาซะเลย ทุก ๆ วันของผม ไม่สิ...ทุก ๆ คืนของผมคือการนั่งคิดว่าทำไมชีวิต...ต้องเป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่ผมล้มตัวลงนอนและพยายามข่มตาหลับ เสียงเครื่องถ่ายเอกสารที่ถูกใช้งานตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงสามทุ่มอย่างไม่ได้หยุดพัก เสียงการต่อสายและพูดคุยผ่านโทรศัพท์จากหลายมุมห้องของห้องขนาดใหญ่ปานกลางที่มีเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ อีกกว่า 40 คนนั่งอยู่ตามห้องแคปซูลของตัวเอง ผสมกับเสียงคนถกเถียงกันในห้องประชุมที่เคร่งเครียดก็จะตามเข้ามาอยู่ในหัวของผม แยกผมกับการพักผ่อนออกจากกันเหมือนกับที่ The Berlin Wall ทำกับชาวยุโรปในปี 1961 - 1989


พวกเราทุกคนที่ ProProof มีหน้าที่หลักคือการก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารหลายพันหน้าจากกล่องกระดาษกล่องใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นฉบับเรื่องแต่งจากนักเขียนทุกเพศ ทุกวัย หน้าใหม่และหน้าเก่าที่มีจุดมุ่งหมายหนึ่งคล้าย ๆ กันอย่างการต้องการ ‘Make a mark on the world’ บ่อยครั้งที่พนักงานเกือบเกินครึ่งของสำนักพิมพ์มักหลงลืมเวลาอาหารเช้า พักเที่ยง หรือแม้แต่เวลาที่ตัวเองต้องขับรถไปรับลูกที่โรงเรียน พอมารู้ตัวอีกทีสิ่งเดียวที่ตกถึงท้องของพวกเขาในแต่ละวันก็มีแต่กาแฟไม่ต่ำกว่า 8 แก้วเพียงอย่างเดียว 


หากพวกคุณกำลังเข้าใจผิด คิดว่าผมเกลียดงานที่ตัวเองทำ ผมก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า มันไม่ใช่อย่างนั้น ผมรักและชอบการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่ชั้นมัธยมความฝันของผมคือการอยากเป็นนักเขียน แต่พอเรียนจบมหาลัยความฝันที่ใช่และอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ก็คือ การช่วยให้ใครก็ตามที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียนเขียนหนังสือของตัวเองจนประสบความสำเร็จ 


ผมเริ่มทำงานกับ ProProof ตั้งแต่ปี 2001 ได้อ่านบทความและเรื่องราวที่มหัศจรรย์มากมายจากผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ได้เจอกับนักเขียนต้นแบบเก่ง ๆ อยู่หลายครั้งหลายหน ผมยอมรับว่าตอนนั้นหลาย ๆ อย่างในชีวิตผมกำลังไปได้ดีถึงดีที่สุด คนรอบข้างก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน  แต่จู่ ๆ มันก็มีบางสิ่งที่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าผมได้ทำบางอย่างหล่นหายไป บางอย่างที่สำคัญต่อผมมาก ๆ  บางอย่างที่ผมยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร บางอย่างที่ผมไม่สามารถรู้หรือมองเห็นได้เหมือนกับว่ามันมีม่านสีขาวมาปกคลุมหน้าต่างบานหนึ่ง แล้วมีใครก็ไม่รู้นำเอากระถางดอกไม้สุดสวยงามไปวางกั้นทางเดินตรงนั้นไว้ เพื่อไม่ให้ใครเดินข้ามไปเปิดดูได้ว่าโลกอีกฝั่งข้างนอกจริง ๆ แล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่ 


เมื่อเวลาผ่านไปถึง 19 ปี ผมที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้จึงได้ตัดสินใจรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่ผมมี ณ วันนั้น เดินมุ่งหน้าไปหยิบกระถางต้นไม้เหล่านั้นออกทีละอันสองอัน ขยับข้อมือแง้มเปิดผ้าม่านผืนนั้นออกดูเพียงนิดหน่อยเพื่อให้ตัวเองได้ค้นพบกับความจริงที่โลกอีกใบหนึ่งรักษาไว้ว่า...สิ่งที่ผมทำหายไปมันไม่ใช่อะไรที่ไกลตัวผมเลยแม้แต่น้อย แต่มันเป็นเพียงแค่ความรักที่ผมมีต่อการอ่านหนังสือสุดหัวใจของผมเท่านั้นเอง… My day back then would be like…


“You eat coffee for lunch. You follow through on you follow through. Sleep deprivation is your drug of choice. You might be a doer.” Or “Whatever it takes! You’ll get there in the end! There’s no time for real life when there’s work to be done! Coffee all the way!” (#InDoerWetrust Campaign)


“I’ve always felt that it’s as though , despite my racing heart, my brain has slowed right down.” (Rebecca Seal, SOLO)


ผมคิดทบทวนดูแล้วว่าทุกสิ่งที่ผมเคยเรียกว่าชีวิตที่ดี ชีวิตที่มีความหมายของตัวเอง มันคือชีวิตที่ Make your’s soul engine running out จริงเหรออยู่สักพัก จนผมแน่ใจแล้วว่าผมไม่สามารถทนใช้ชีวิตอันมีค่าของตัวเองแบบนี้ต่อไปอีกได้ ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหันหัวเรือของตัวเองให้ไปในเส้นทางแห่งความสุขและสงบของชีวิต เริ่มจากขั้นตอนแรกอย่างการลาออกจากงานที่ไม่ได้มอบความหมายใด ๆ ให้กับชีวิตของผมอีกต่อไปแล้ว ผมเดินออกมาตั้งหลักเพื่อเริ่มการวางแผนชีวิตใหม่ของตัวเอง ผมครุ่นคิดว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไป ว่าผมควรเริ่มจากตรงไหน


โดยระหว่างนั้น ผมได้มาเจอกับหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกจุดประสงค์ของเนื้อหาด้านในของมันอย่างชัดเจน (ตรงกับคำถามที่ผมมีอยู่) ว่า “this book was always meant to be for anyone who work alone; I want to help soloist work and live well.” ผมจึงหยิบมันติดมือกลับมาด้วยจากร้านหนังสือเล็ก ๆ ระหว่างทางกลับบ้านหลังจากวันที่ผมเก็บของออกจากออฟฟิศของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า SOLO How to work alone (And not lose your mind) by Rebecca Seal ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่หน้าแรกไปเรื่อยๆ และค่อย ๆ เก็บเกี่ยวสิ่งที่ผมคิดว่ามันอาจมีประโยชน์ในอนาคต ไม่สิ ในการสร้างอนาคตใหม่ของผม


“But what is the answer? How do we work alone and thrive without feeling like we are losing our grip of our lives? One answer is ridiculously, absurdly, almost laughably simple (although harder than you’d think to put in practice). Just…don’t. Don’t work alone. Don’t attempt to plough through whatever career or side hustle you’ve chosen on your own. Don’t sit alone all day, don’t stare at a blank page, a blank screen, a brick wall. We are not made for constant, rudderless seclusion. Don’t be alone.”


“Whether we realize it or not, everything we do in our working days, as soloists, is a choice - regardless of whether a choice is actively thought through, or not - and those choices create a framework for how we work, and how we feel about that work. Our choices have deep consequences for our mental and physical health, as well as the health of our businesses.”


“Overworking isn’t just bad for our health, it makes us less intelligent , worse at our jobs and — the ultimate paradox — less productive, sometimes even damaging the work we’ve already done.” บวกกับเนื้อหาอื่น ๆ อีกมากมาย และ Rebecca Seal ยังบอกว่า “I probably think you should work a bit less. Make the hours you do work count for a bit more. Take time off. Try not to think about money. Don’t obsess with success. Rest.” 


Rest...ผมปิดหนังสือ SOLO และวางมันลงบนหัวเตียงก่อนจะดับไฟและปิดตาลงช้า ๆ รู้มั้ยว่าสิ่งที่ผมเจอคืออะไร สิ่งที่ผมเจอคือความเงียบ นี่สินะสัญญาณที่ดีของการตัดสินใจไม่ผิด นี่สินะความสบายใจ พรุ่งนี้เช้าผมจะอ่านหนังสือเล่มนี้ต่ออีก แต่คืนนี้ผมขอทำความรู้จักกับกลิ่นของฝันหวานเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผมอีกสักครั้งก่อนนะ พอดีว่าเราทั้งสองไม่ได้เจอกันมานานมากจริงๆ น่ะ 


Fictional Short Story by Princess