จากประสบการณ์การทำงานในสนามบินมาเข้าปีที่ 9 ของผู้เขียนผ่านมาสามสนามบิน (สุวรรณภูมิ, เชียงใหม่, ดอนเมือง) รู้สึกว่าสนามบินเป็นเหมือนสถานที่พิเศษที่นึง เพราะมีทั้งส่วนราชการ ร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก ไปรษณีย์ การขนส่งต่าง ๆ เรียกได้ว่าผู้ไปใช้บริการสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสนามบินได้สบาย ๆ ถ้ามีเงินพอ แม้แต่ผู้เขียนที่เป็นเพียงพนักงานของร้านที่เปิดสาขาในสนามบินยังรู้สึกสะดวกสบายเป็นพิเศษจนบางครั้งติดพฤติกรรมไปใช้นอกสนามบินแบบงง ๆ ก็มี เช่น การเดินขึ้นบันไดชิดขวาซึ่งปกติคนไทยเดินชิดซ้าย การจ่ายเงินแบบมีเศษตังค์ด้วยของคนต่างชาติ แต่คนไทยส่วนใหญ่จะจ่ายด้วยแบงก์ใหญ่ไปเลยแล้วให้แม่ค้าทอนเอา ยิ่งเป็นพนักงานในสนามบินที่ติดบัตรอนุญาตเข้าพื้นที่ต่าง ๆ ได้ เข้าทางที่ผู้โดยสารทั่วไปเข้าไม่ได้ยิ่งรู้สึกพิเศษ แต่พอวันไหนที่ไปใช้สนามบินโดยไม่ได้ไปทำงานหรือติดบัตรฯไปด้วย แม้แต่ลิฟต์ยังขึ้นไม่ได้เลย T_T


        การทำงานในสนามบินทำให้ผู้เขียนเป็นคนละเอียดและช่างสังเกตมากขึ้นเพราะต้องตอบคำถามผู้โดยสารและลูกค้าอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับงานหรือเรื่องทั่วไปบางครั้งเจอคำถามเดิม ๆ บ่อย ๆ ก็จะมีบ้างที่รู้สึกไม่อยากตอบ (โดยเฉพาะวันที่ไม่สบายตัวเหมือนวันนั้นของผู้หญิง T_T ) เช่น ห้องน้ำอยู่ไหน? VAT refund อยู่ไหน? เกท ... อยู่ไหน? เพราะผู้เขียนรู้สึกว่ามีป้ายบอกทางที่ชัดเจน แม้บางครั้งป้ายก็ใช้คำศัพท์ที่เราไม่เข้าใจไปบ้างโดยเฉพาะภาษาไทย แต่ก็มีรูปสัญลักษณ์ตามทางเดิน แต่คนไม่ค่อยสังเกตกัน ผู้เขียนคิดเอาเองว่าพนักงานเหล่านั้นคงมีบางครั้งที่รู้สึกเหมือนผู้เขียนที่ไม่อยากตอบหรือไม่สะดวกตอบ เลยพยายามสังเกตป้ายบอกทางก่อนถ้าไม่เจอป้ายจริง ๆ ถึงจะถาม

    

        อีกอย่างคือการลืมของที่เกิดบ่อยมากจนต้องสังเกตและจดจำว่าคนที่เดินเข้ามาในร้านเอาอะไรเข้ามาบ้าง เดินไปตรงมุมไหนบ้าง ของที่ลืมมีตั้งแต่ชิ้นเล็ก ๆ อย่างปากกา, โทรศัพท์มือถือ, กระเป๋าสตางค์ (เคยเจอกระเป๋าที่มีตังค์อยู่เป็นหมื่น ๆ หยวนเลยก็มี), Passport (อันนี้ลืมแล้วเดินทางไม่ได้ต้องหากันวุ่นวายทั้งคนลืม, พนักงานสายการบิน, เจ้าหน้าที่ ตม.), ถุงดิวตี้ฟรี, หมวกหรือเสื้อคลุม ไปจนถึงชิ้นใหญ่อย่างโน้ตบุ๊ก, กระเป๋าเดินทางขนาด 32 นิ้ว, รถเข็นเด็กที่มีเด็กนอนหลับอยู่ในรถ ซึ่งอันนี้ไม่รู้ว่าลืมจริง ๆ หรือว่าฝากไว้ก่อนเพราะหายไปนานมากจนต้องประกาศตามหาเจ้าของ


        ที่มาคู่กันกับการลืมของเลยก็คือการโดนขโมยของทั้งที่ตั้งใจขโมยและไม่ได้ตั้งใจขโมย (มันติดมือมา...เค้าว่างั้น) ร้านของผู้เขียนขายหนังสือเป็นอะไรที่สามารถขโมยได้ง่ายซ่อนในเสื้อหรือวางบนของในอ้อมแขนก็สามารถขโมยออกไปได้แล้ว (ถึงแม้จะระวังอยู่ตลอดก็ยังมีหลุดหูหลุดตาไปบ้าง >_<) ทำให้ยิ่งต้องสังเกตลูกค้าที่เข้ามาเพื่อจดจำลักษณะท่าทาง สีเสื้อผ้าการแต่งกาย เพื่อใช้ตามหาเวลาที่ถูกขโมยของหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้จะมีรูปจากกล้องวงจรปิดแต่ขโมยบางคนก็หลักแหลมใช้วิธีเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่หมวกปิดหน้า


        เคสนึงที่ผู้เขียนเคยจับได้เกิดขึ้นที่สนามบินเชียงใหม่ฝั่งผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ (International Flights) เป็นผู้ชายชาวอิสราเอลอายุประมาณ 25-30 ปี ตอนเข้ามาในร้านใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์ขายาวมีกระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ 1 ใบ เดินดูหนังสือในร้านทำทีว่าสอบถามราคาหนังสือ แต่ไม่ซื้อแล้วเดินออกไป ทิ้งระยะเวลาประมาณ 5 นาทีผู้เขียนไปจัดหนังสือบริเวณชั้นนั้นและเห็นว่าหนังสือหายไปเล่มนึง ซึ่งผู้เขียนไม่ได้ขาย จึงย้อนกล้องวงจรปิดดูว่าลูกค้าเอาไปวางไว้ตรงอื่นรึเปล่า ก็เจอว่าผู้ชายคนนี้เอาใส่ในเสื้อแจ็คเก็ตแล้วเดินออกจากร้านไป ผู้เขียนจึงรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน (ผู้เขียนเรียกพี่ ๆ ว่าตระเวนหมวกแดง) และตำรวจ ให้ช่วยตามหา โดยได้เอารูปจากกล้องวงจรปิดให้ เดินหากันสักพักก็ไม่เจอคนลักษณะอย่างในรูปเลย จนพี่ ๆ เจ้าหน้าที่ในห้อง CCTV ของสนามบินเจอว่ามีคนลักษณะคล้ายในรูปเดินเข้าห้องน้ำชายไปแต่ตอนออกมาได้เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นกับกระเป๋าใบเดิม จึงได้เดินตามหาอีกรอบแถว ๆ ที่นั่งรอขึ้นเครื่อง แล้วก็เจอจนได้ พี่ ๆ ตำรวจได้เข้าไปขอค้นกระเป๋าเจอหนังสือเล่มที่ขโมยมาจริง ๆ อยู่ในกระเป๋าสะพายข้างใบนั้น แต่ไม่ได้มีแค่หนังสือเล่มเดียวยังมีหนังสือที่ถูกขโมยมาอีก 2 เล่มรวมเป็น 3 เล่ม น้ำหอม 1 ขวดและเครื่องสำอางที่ขโมยมาจากร้านดิวตี้ฟรีซึ่งคนขโมยหยิบออกมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเอง (คิดว่าสารภาพแล้วจะลดโทษหรือปล่อยไปรึเปล่า)


        ภายหลังพอจับได้ก็จะเอาไปสถานีตำรวจลงบันทึกประจำวัน ดำเนินคดีต่อไป พี่ ๆ ตำรวจและเจ้าหน้าที่ ตม.ก็เอา Passport ข้อมูลต่าง ๆ ของขโมยไปทำ Black List แล้วดำเนินตามขั้นตอนไป ผู้เขียนเจอขโมยหลายเคสมาก ๆ สรรหาวิธีการมาขโมยแต่ละวิธีแสบ ๆ ทั้งนั้น แบบมาเป็นกลุ่มก็มี แบบนี้ส่วนใหญ่จะขโมยของตามออเดอร์ แบบครอบครัวก็มี เวลาถูกจับได้ก็ใช้วิธีให้เด็กมาร้องไห้ กอดแข้งกอดขาเรียกความสงสาร สารพัดวิธีจริง ๆ ถ้าต้องเล่าเรื่องขโมยเฉพาะที่จับได้ในร้านก็คงต้องเตรียมอาหาร เครื่องดื่ม ที่นอน ผ้าห่มกันเลยเพราะเรื่องเยอะต้องเล่ายาว ๆ ^_^


 เรื่อง : ดาว

ภาพประกอบ : Serm